ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศสมัยอยุธยา
สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมต่อการเป็นเมืองท่าค้าขาย
ประกอบกับความมั่นคงทางการเมืองการปกครอง
ทำให้อยุธยามีอำนาจและอิทธิพลเหนือรัฐใกล้เคียง
นอกจากนี้พื้นที่ที่อุดมสมบูรณ์ยังทำให้อยุธยาเป็นแหล่งธัญญาหารที่สำคัญ
รวมถึงวิเทโศบายของอยุธยาก็เปิดกว้างในการติดต่อกับนานานชาติ
ด้วยปัจจัยหลายประการข้างต้น
กรุงศรีอยุธยาจึงเป็นศูนย์กลางการค้านานาชาติที่รุ่งเรืองมากในภูมิภาคตะวันออกเฉียงใต้
เป็นแหล่งที่พ่อค้าจากตะวันออกและตะวันตกเข้ามาติดต่อซื้อขายสินค้า
โดยเฉพาะในรัชสมัยสมเด็จพระนานรายณ์มหาราชเป็นสมัยที่การทูตและการต่างประเทศเฟื่องฟูมากยุคหนึ่ง
ความสัมพันธ์กับรัฐเพื่อนบ้าน
ความสัมพันธ์ระหว่างอยุธยากับเพื่อนบ้านมีทั้งลักษณะที่เป็นไมตรีต่อกัน
และมีความขัดแย้งจนต้องทำสงครามกัน
ทั้งนี้เพราะอยุธยามีนโยบายในการขยายอำนาจเข้าไปปกครองในดินแดนของรัฐเพื่อนบ้าน
จึงทำให้ความสัมพันธ์ดำเนินไปในลักษณะการรุกรานซึ่งกันและกัน
โดยเฉพาะกับพม่าที่มีการทำสงครามกันตลอดในสมัยอยุธยา
1.ล้านนา
แคว้นล้านนามีศูนย์กลางการปกครองอยู่ที่เมืองเชียงใหม่
อยุธยาไม่ได้มีอาณาเขตติดต่อกับล้านนาโดยตรงเนื่องจากมีอาณาจักรสุโขทัยคั่นอยู่
ความสัมพันธ์ระหว่างอยุธยากับล้านนามีลักษณะเป็นการทำสงครามกันมากกว่าการเป็นไมตรีต่อกัน
สงครามกับอยุธยากับล้านนาได้เกิดขึ้นหลายครั้งในรัชสมัยพระยาติโลกราชแห่งล้านนากับสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่งกรุงศรีอยุธยา
หลังจากนั้นอยุธยากับล้านนาจึงเป็นไมตรีต่อกัน ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ
อยุธยาติดทำสงครามกับพม่าจึงไม่ยกกองทัพไปช่วยเมืองเชียงใหม่ซึ่งถูกพม่ารุกรานเช่นเดียวกัน
จะเห็นว่าตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระไชยราชาธิราชจนถึงรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช
ล้านนาตกอยู่ใต้อิทธิพลทางการเมืองของไทยเป็นบางช่วง
และบางช่วงอยู่ใต้อิทธิพลของพม่า เมื่อสิ้นรัชสมัยสมเด็จพระนรายณ์แล้ว
ล้านนาเป็นอิสระได้ระยะหนึ่งจนกระทั่งมาถึงสมัยอยุธยาตอนปลาย
เชียงใหม่ตกเป็นเทศราชของพม่าจนเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 ใน พ.ศ. 2310
2. ลาว ในสมัยพระเจ้าฟ้างุ้มได้ทรงรวบรวมดินแดนลาวเข้าเป็นอันหนึ่งเดียวกันแล้วสถาปนาเป็นอานาจักรล้านช้างซึ่งขณะนั้นตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระรามาธิบดีที่
1 (อู่ทอง)
แห่งอยุธยากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ได้แบ่งดินแดนกันโดยใช้แนวทิวเขาเพชรบูรณ์และทิวเขาดงพญาเย็นเป็นเขตแดนระหว่างกัน
หลักฐานสำคัญที่แสดงถึงสัมพันธไมตรีอันดีระหว่างไทยและลาวสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิและพระเจ้าไชยเชษฐา
คือ การร่วมกันสร้างพระธาตุสีสองรัก มีศิลาจารึกเป็นตัวอักษรทางภาษาลาว
อีกด้านหนึ่ง เป็นอักษรของภาษาไทย เมื่อฝรั่งเศสเข้ามายึดเมืองด่านซ้ายใน พ.ศ. 2449
ได้นำศิลาจารึกนี้ไปเวียงจันทร์ เนื้อความในศิลาจารึกกล่าวถึงกษัตริย์ทั้งสองนครว่า
จะรักใคร่กลมเกลียวกันจนชั่วลูปชั่วหลาน
หลังจากไทยเสียกรุงศรีอยุธยาให้กับพม่าครั้งที่ 1
แล้วไม่ปรากฏหลักฐานความเป็นมิตรไมตรีระหว่างไทยกับลาวตาอย่างใด
3. พม่า
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับพม่าส่วนใหญ่เป็นการแข่งอิทธิพลและการขยายอำนาจจึงทำให้เกิดสงครามตลอดมา
สาเหตุสำคัญมาจากการที่พม่าได้เป็นใหญ่ในเหนือดินแดนมอญและไทยใหญ่แล้วก็พยายามขยายอำนาจเข้ามายังอาณาจักรอยุธยา
การที่พม่ายกทัพมารบกับอยุธยาหลายครั้งแสกงให้เห็นถึงความต้องการเป็นใหญ่ในดินแดนแถบนี้แล้วพม่าต้องการแสดงความเป็นเอกภาพในดินแดนพม่าโดยการรวบรวมชนกลุ่มน้อยให้เป็นหนึ่งเดียวกันแต่อุปสรรคสำคัญของพม่า
ในสมัยอยุธยาไทยกับพม่าได้ทำสงครามกันถึง 24 ครั้ง
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับพม่าจึงเป็นลักษณะความสัมพันธ์ทางการเมืองและการทำสงครามเกือบตลอดเวลา
4. เขมร ในสมัยสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2 (เจ้าสามพระยา)
ได้โปรดเกล้าฯได้ยกทัพไปตีเขมรได้สำเร็จแต่ปกครองอยู่ได้ไม่นานเขมรประกาศตนเป็นอิสระไม่ขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยาจนถึงรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
จึงยกทัพไปตีเขมร เขมรจึงตกเป็นเมืองขึ้นของอยุธยา
แต่ภายหลังรัชสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช
เขมรก็ตั้งตัวเป็นอิสระแม้ไทยจะส่งกองทัพไปปราบแต่ก็ไม่สำเร็จ
ความสัมพันธ์ระหว่างอยุธยากับเขมรมีทั้งลักษณะเป็นไมตรีต่อกัน
มีความขัดแย้งหรือทำสงครามกันแต่ทว่าความสัมพันธ์ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือการรับอิทธิพลของเขมรหลายประการเข้ามา
คือ การปกครองแบบสมมติเทพ พระราชพิธีต่างๆ ภาษา ขนบธรรมเนียมประเพณี
และศิลปวัฒนธรรม ยังคงมีบทบาทและความสำคัญในสังคมไทยมาจนถึงทุกวันนี้
5. หัวเมืองมลายู
หัวเมืองมลายูตกเป็นประเทศของไทยตั้งแต่สมัยอยุธยาตอนต้น
ในพงศาวดารมีการระบุชื่อประเทศราชของกรุงศรีอยุธยาว่าทางตอนใต้ ได้แก่ เมืองมะละกา
และเมืองยะโฮร์
สองเมืองนี้ไทยให้ปกครองตนเองแต่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการมายังกรุงศรีอยุธยา
หัวเมืองมลายูพยายามตั้งตนเป็นอิสระจากอยุธยา
ช่วงเวลาใดที่อยุธยาเกิดการแย่งอำนาจกันเองหรือต้องทำศึกสงครามกับพม่า
หัวเมืองมลายูก็จะตั้งตนเป็นอิสระ
ในตอนปลายสมัยอยุธยาความสัมพันธ์ระหว่างอยุธยากับหัวเมืองมลายูไม่ปรากฏหลักฐานการเกิดแน่ชัด
6. เวียดนาม
ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับเวียดนามนอกเหนือจากการไปค้าขายกันตามปกติแล้ว
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมักจะเป็นเรื่องของการแข่งขันการมีอิทธิพลในเขมร
แต่บางครั้งก็เป็นมิตรไมตรีกัน เช่น
อยุธยาได้ผูกมิตรกับกษัตริย์ราชวงศ์ตรินห์ที่เมืองฮานอย
เพื่อต่อต้านราชวงศ์เหงียนซึ่งมีอำนาจอยู่ที่เมืองเว้
เมื่อเวียดนามรบกันเองไทยสามารถขยายอิทธิพลและมรอำนาจในเขมรได้อย่างสะดวก
แต่เมื่อเวียดนามรวมกำลังกันได้ก็จะขยายอำนาจเข้าไปในเขมรทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกับไทย
บางครั้งถึงขั้นทำสงคราม เหตุการณ์ในลักษณะนี้เกิดขึ้นหลายครั้งในสมัยอยุธยา
ความสัมพันธ์กับรัฐในเอเชีย
1. จีน อยุธยาทำการติดต่อกับประเทศจีนในสมัยราชวงศ์หมิง
(พ.ศ. 1991-2187) กับราชวงศ์ชิง (พ.ศ. 2187-2454) กับราชวงศ์ชิง
โดยรูปแบบความสัมพันธ์ระหว่างอยุธยากับจีนเป็นไปในรูปความสัมพันธ์แบบรัฐบรรณาการ
แล้วจักรพรรดิจีนจะทรงตอบแทนคณะทูตอยุธยาด้วยการพระราชทานของขวัญมีค่าที่มากกว่าให้
และอนุญาตให้อยุธยาซื้อสินค้าจากจีนได้
โดยอยุธยาสามารถนำสินค้าและของขวัญจีนไปขายต่อในราคาสูง
ในระบบความสัมพันธ์แบบบรรณาการนั้น
จักรพรรดิจีนถือว่าอยุธยาเป็นประเทศราชของจักรวรรดิจีน
แต่สำหรับราชสำนักอยุธยาแล้วถือว่าความสัมพันธ์กับจีนถือว่าความสัมพันธ์กับจีนอยู่ในรูปของการค้าเป็นหลัก
ดังนั้นจะเห็นได้จากอยุธยาส่งคณะทูตพร้อมเครื่องราชบรรณาการไปถวาย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น