หน่วยที่ 1 พัฒนาการสมัยอยุธยา

          



การสถาปนากรุงศรีอยุธยา
     ในการศึกษาประวัติศาสตร์ทำให้เราทราบว่าบรรพบุรุษของไทยเป็นผู้สถาปนาอาณาจักรสุโขทัยขึ้นในบริเวณลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยาตอนบน  และในช่วงเวลาที่อาณาจักรสุโขทัยเริ่มเสื่อมอำนาจลง  อาณาจักรอยุธยาก็สถาปนาขึ้น  และดำรงอยู่เป็นราชธานีตลอดระยะเวลา 417 ปี  จนกระทั่งกรุงศรีอยุธยาเสียอิสรภาพให้แก่พม่า  ในปี พ.ศ. 2310 แล้ว  สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้กอบกู้เอกราชของไทยคืนมา  และสถาปนากรุงธนบุรีขึ้นเป็นราชธานีแห่งใหม่  อาณาจักรธนบุรีดำรงอยู่มาได้ 15 ปี  ก็สิ้นสุดแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช  ต่อมาในปี พ.ศ. 2325  สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช  ทรงสถาปนาพระราชวงศ์จักรีขึ้นปกครองแผ่นดินและตั้งกรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีแห่งใหม่ของไทยสืบต่อมาจนถึงปัจจุบันนี้
     อาณาจักรอยุธยาสถาปนาขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1893  และดำรงความเป็นอาณาจักรไว้ได้นานถึง 417 ปี  ย่อมต้องมีรากฐานทางสังคมและวัฒนธรรมที่เข้มแข็งพอสมควร  ดังนั้นการศึกษาประวัติศาสตร์ในสมัยอยุธยาจึงเป็นสิ่งจำเป็นต่อการศึกษาประวัติศาสตร์ของไทยเป็นอย่างยิ่ง

          1.  ผู้ก่อตั้งอาณาจักรอยุธยา ก่อนที่พระเจ้าอู่ทองจะเสด็จมาสร้างกรุงศรีอยุธยาเมื่อ พศ. 1893  ไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดว่าพระองค์มีเชื้อสายมาจากราชวงศ์ใด  และมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่เมืองใด  แต่มีข้อสันนิษฐานว่า  พระเจ้าอู่ทองสืบเชื้อสายมาจากทางเหนือ  ตอนบนของแม่น้ำเจ้าพระยา  ก่อนที่จะอพยพมาสร้างกรุงศรีอยุธยา
               ส่วนความคิดเห็นหนึ่งก็ว่า  พระเจ้าอู่ทองอยู่ที่เมืองอโยธยา  และทรงอพยพไพร่พลหนีโรคระบาดข้ามฝั่งแม่น้ำมาสร้างกรุงศรีอยุธยา
               นอกจากนี้ยังมีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไปว่า  พระเจ้าอู่ทองซึ่งเป็นฝ่ายละโว้ได้อภิเษกสมรสกับพระราชธิดาของกษัตริย์แห่งสุพรรณภูมิ  เพื่อจุดมุ่งหมายทางการเมืองที่จะสร้างความมั่นคงให้กับอาณาจักร
               ต่อมาเมื่อเมืองอู่ทองเกิดโรคระบาด  เกิดภัยธรรมชาติ  ผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมาก  พระเจ้าอู่ทองจึงอพยพผู้คนไปยังทำเลที่มีน้ำอุดมสมบูรณ์  (เชื่อกันว่าเป็นบริเวณที่เป็นวัดพุทไธสวรรย์ในปัจจุบัน)  ทรงสร้างเมืองใหม่ที่บริเวณหนองโสนหรือบึงพระราม  แล้วสถาปนากรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีในปี พ.ศ. 1893  ทรงพระราชทานนามพระนครว่า  "กรุงเทพทวารวดี ศรีอยุธยา"  พระเจ้าอู่ทองเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นปฐมกษัตริย์ต้นราชวงศ์อู่ทอง  ทรงพระนามว่า  "สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1"
          2.  ที่ตั้งของกรุงศรีอยุธยา   กรุงศรีอยุธยามีที่ตั้งที่เหมาะสม  เนื่องจากมีแม่น้ำสำคัญไหลผ่านถึง 3 สาย  ได้แก่
                    แม่น้ำลพบุรี      ไหลจากทางทิศเหนืออ้อมไปทางทิศตะวันตก
                    แม่น้ำป่าสัก      ไหลผ่านจากทิศตะวันออก
                    แม่น้ำเจ้าพระยา  ไหลจากทิศตะวันตกอ้อมไปทางทิศใต้
               แม่น้ำทั้ง 3 สายนี้  ไหลมาบรรจบกันล้อมรอบราชธานี  ทำให้กรุงศรีอยุธยามีลักษณะเป็นเกาะที่มีสัณฐานคล้ายเรือสำเภา  คนทั่วไปจึงเรียกอยุธยาว่า  "เกาะเมือง"  อยุธยามีทำเลทางภูมิศาสตร์ที่เหมาะสมกับการเป็นราชธานี  ดังนี้






แผนที่แสดงที่ตั้งในสมัยอยุธยา

        1.  เป็นที่มีความอุดมสมบูรณ์  เหมาะแก่การเพาะปลูก
        2.  สะดวกแก่การคมนาคม  เพราะตั้งอยู่ในเส้นทางค้าขาย  ติดต่อกับหัวเมืองอื่น ๆ รวมทั้งสามารถติดต่อค้าขายกับต่างประเทศทางทะเลได้สะดวก  เพราะตั้งอยู่ตรงที่แม่น้ำใหญ่หลายสายไหลมาบรรจบกัน  รวมเป็นแม่น้ำเจ้าพระยาไหลออกอ่าวไทย  เรือเดินทะเลสามารถแล่นจากปากแม่น้ำเข้ามาทอดสมอได้ถึงหน้าเมือง  ทำให้กรุงศรีอยุธยาเป็นชุมทางการค้าขายที่สำคัญ
        3.  มีความเหมาะสมด้านยุทธศาสตร์  กล่าวคือ  เมื่อมีข้าศึกยกทัพมาตี  ข้าศึกจะสามารถตั้งค่ายล้อมเมืองได้ถึงฤดูแล้งเท่านั้น  เพราะเมื่อถึงฤดูน้ำหลาก  น้ำจะหลากท่วมขังบริเวณรอบตัวเมือง  ซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการที่ข้าศึกจะยกทัพเข้าโจมตีและทำให้ขาดแคลนเสบียงอาหาร  ข้าศึกจึงต้องถอยทัพกลับไป
               สภาพทำเลที่ตั้งของกรุงศรีอยุธยาที่มีความเหมาะสมดังกล่าว  ทำให้กรุงศรีอยุธยาเป็นนครราชธานีอันยิ่งใหญ่ของชาติไทยมายาวนานตลอด 417 ปี (พ.ศ. 1893 - 2310)  และมีพัฒนาการทางประวัติศาสตร์อย่างเห็นได้ชัดทั้งทางด้านการเมืองการปกครอง  เศรษฐกิจ  สังคม  และศิลปวัฒนธรรม
          3.  รายพระนามพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา     ตลอดระยะเวลา 417 ปี 
ที่กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานีของไทย  ได้มีพระมหากษัตริย์ปกครองสืบต่อกันมา 5 ราชวงศ์  รวมทั้งสิ้น 33 พระองค์
               1.  พระราชวงศ์อู่ทอง
                    -  สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระจ้าอู่ทอง)  ครองราชย์ พ.ศ. 1893 - 1912
                    -  สมเด็จพระราเมศวร ครองราชย์ พ.ศ. 1912-1913 และ พ.ศ.1931 - 1938
                    -  สมเด็จพระรามราชาธิราช  ครองราชย์  พ.ศ. 1938 - 1952
               2.  สุพรรณภูมิ
                    -  สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่1(ขุนหลวงพ่องั่ว)ครองราชย์พ.ศ. 1913 - 1931
                    -  สมเด็จพระเจ้าทองลัน  (ทองจันทร์)  ครองราชย์  พ.ศ. 1931 - 1931
                    -  สมเด็จพระอินทราธิราช (เจ้านครอินทร์)  ครองราชย์  พ.ศ. 1952 - 1967
                    -  สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2(เจ้าสามพระยา)ครองราชย์พ.ศ.1967 - 1991
                    -  สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ  ครองราชย์  พ.ศ. 1991 - 2031
                    -  สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 3  ครองราชย์  พ.ศ. 2031 - 2034
                    -  สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2  ครองราชย์  พ.ศ. 2034 - 2072
                    -  สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 4(หน่อพุทธางกูรหรือพระอาทิตยวงศ์ ครองราชย์ 
                       พ.ศ. 2072 - 2076
                    -  สมเด็จาพระรัษฎาธิราชราชกุมาร  ครองราชย์  พ.ศ. 2076 - 2077
                    -  สมเด็จพระไขยราชาธิราช  ครองราชย์  พ.ศ. 2077 - 2089
                    -  สมเด็จพระยอดฟ้า (พระแก้วฟ้า)  ครองราชย์  พ.ศ. 2089 - 2091
                    -  สมเด็จพระมหาจักรพรรดิ  ครองราชย์  พ.ศ. 2091 - 2111
                    -  สมเด็จพระมหินทราธิราช  ครองราชย์  พ.ศ. 2111 - 2112
               3.  สุโขทัย
                    -  สมเด็จพระมหาธรรมราชา  ครองราชย์  พ.ศ. 2112 - 2133
                    -  สมเด็จพระนเรศวรมหาราช  ครองราชย์  พ.ศ. 2133 - 2148
                    -  สมเด็จพระเอกาทศรถ  ครองราชย์  พ.ศ. 2148 - 2163
                    -  สมเด็จพระศรีเสาวภาคย์  ครองราชย์  พ.ศ. 2163 - 2163
                    -  สมเด็จพระเจ้าทรงธรรม  ครองราชย์  พ.ศ. 2163 - 2173
                    -  สมเด็จพระเชษฐาธิราช  ครองราชย์  พ.ศ. 2171 - 2173
                    -  สมเด็จพระอาทิตยวงศ์  ครองราชย์  พ.ศ.  2173 - 2173
               4.  ปราสาททอง
                    -  สมเด็จพระเจ้าปราสาททอง  ครองราชย์  พ.ศ. 2173 - 2198
                    -  สมเด็จเจ้าฟ้าไชย  ครองราชย์  พ.ศ. 2198 - 2199
                    -  สมเด็จพระสุธรรมราชา  ครองราชย์  พ.ศ. 2199 - 2199
                    -  สมเด็จพระนารายณ์มหาราช  ครองราชย์  พ.ศ. 2199 - 2231
               5.  บ้านพลูหลวง
                    -  สมเด็จพระเพทราชา  ครองราชย์  พ.ศ. 2231 - 2245
                    -  สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 8 (พระเจ้าเสือ)  ครองราชย์  พ.ศ. 2245 - 2252
                    -  สมเด็จพระสรรเพชญ์ที่ 9 (พระเจ้าท้ายสระ)ครองราชย์  พ.ศ. 2252 - 2275
                    -  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ  ครองราชย์  พ.ศ. 2275 - 2301
                    -  สมเด็จพระเจ้าอุทุมพร (ขุนหลวงหาวัด)  ครองราชย์  พ.ศ. 2301 - 2301
                    -  สมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ (พระเจ้าเอกทัศ)ครองราชย์ 
                       พ.ศ.2301- 2310






การปกครองสมัยอยุธยา
รูปแบบการปกครองสมัยอยุธยานั้นแบ่งได้ 3 ระยะตามลักษณะการปกครอง คือ การปกครองสมัยอยุธยาตอนต้น  อยุธยาตอนกลาง  อยุธยาตอนปลาย
 
การปกครองสมัยอยุธยาตอนต้น   มีลักษณะดังนี้
การปกครองระยะนี้เริ่มเมื่อ (พ.ศ.1893-1991 )สมัยพระเจ้าอู่ทองถึงสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2  แบ่งการปกครองได้ 
 2 ส่วน
     ส่วนที่ 1)   การปกครองส่วนกลาง  การปกครองในเขตราชธานี   และบริเวณโดยรอบราชธานีโดยได้จัดรูปแบบการปกครองแบบเขมร จัดหน่วยการปกครองเป็น 4 หน่วย แต่ละหน่วยมีเสนาบดีบริหารงาน ได้แก่  กรมเวียง (ดูแลในเขตเมืองหลวง)  กรมวัง(ดูแลพระราชสำนักและพิจารณาคดี)  กรมคลัง(ดูแลพระราชทรัพย์) กรมนา  (จัดเก็บภาษีและจัดหาเสบียงสำหรับกองทัพ)
    ส่วนที่ 2)   การปกครองส่วนหัวเมือง   แบ่งเป็น 4 ระดับ คือ
        1. เมืองลูกหลวง   หรือเมืองหน้าด่าน       ตั้งอยู่รอบราชธานี 4  ทิศ เช่น ลพบุรี  นครนายก พระประแดง  สุพรรณบุรี ให้โอรสหรือพระราชวงศ์ชั้นสูงไปปกครอง
เมืองลูกหลวง

        2. หัวเมืองชั้นใน  อยู่ถัดจากเมืองลูกหลวงออกไป ได้แก่ พรหมบุรี  สิงห์บุรี ปราจีนบุรี  ฉะเชิงเทรา ชลบุรี  ตะนาวศรี  ไชยา นครศรีธรรมราช ให้ขุนนางที่กษัตริย์แต่งตั้งไปปกครอง
         3.หัวเมืองชั้นนอก   หรือหัวเมืองพระยามหานครคือหัวเมืองขนาดใหญ่ห่างจากราชธานีผู้ปกครองสืบเชื้อสายมาจากเจ้าเมืองเดิมหรือตัวแทนที่ราชธานีส่งมาปกครอง
         4. เมืองประเทศราช   เป็นเมืองที่ยังได้ปกครองตนเองเพราะอยู่ไกลที่สุด   มีความเป็นอิสระเหมือนเดิมแต่ต้องส่งเครื่องราชบรรณาการตามกำหนดส่งกองทัพมาช่วยเวลาสงคราม เช่นสุโขทัย เขมร เป็นต้น 
พระมหากษัตริย์แบบสมมุตติเทพ
 

การปกครองสมัยอยุธยาตอนกลาง  ( 1991-2231) มีลักษณะดังนี้
                 ช่วงเวลาทางการเมืองสมัยอยุธยาตอนกลางได้มีการปฏิรูปเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เหมาะสมกับสภาพการณ์ ทางการเมือง โดยมีสถาบันกษัตริย์เป็นหลักในการปกครองแบ่งได้ 2 ช่วง
        ช่วงที่ 1  เป็นช่วงสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ   ทรงปรับปรุงการปกครองใหม่เนื่องจากปัจจัยหลายๆอย่างเช่น เศรษฐกิจ ควบคุมหัวเมืองได้ไม่ทั่วถึง    และเมืองลูกหลวงหรือเมืองหน้าด่านมีอำนาจมากขึ้น และมักแย่งชิงบัลลังก์อยู่เนืองๆ ประกอบกับอาณาเขตที่กว้างขวางกว่าเดิมพระองค์ได้จัดการแยก ทหารและ   พลเรือนออกจากกัน และจัดการรวมอำนาจเข้าสู่ศูนย์กลาง ทำให้ราชธานีมีอำนาจมากขึ้น มีการควบคุมเข้มงวดมากขึ้น  มีการปฏิรูปการปกครองแยกเป็น 2 ส่วน คือส่วนกลางและหัวเมือง
        สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแยกการปกครองส่วนกลางเป็น  2  ฝ่าย คือ ทหารและพลเรือน    ทหาร มี สมุหกลาโหมดูแล  ส่วนพลเรือนมี  สมุหนายก  ดูแล

         
สมุหนายก มีอัครมหาเสนาบดีตำแหน่ง สมุหนายก ดูแล ข้าราชการฝ่ายพลเรือนทั้งในราช
          สมุหกลาโหม มีอัครมหาเสนาบดีตำแหน่ง
สมุหพระกลาโหมเป็นผู้ดูแลฝ่ายทหาร ทั้งในราชานีและหัวเมือง    และยังได้ปรับปรุงจตุสดมภ์ภายใต้การดูแลของ  สมุหนายก  อัครมหาเสนาบดีผู้ดูแลปรับเปลี่ยนชื่อเป็น ออกญาโกษาธิบดี
การปฏิรูปส่วนหัวเมือง  แยกเป็น 3 ส่วน
        หัวเมืองชั้นใน   ยกเลิกหัวเมืองลูกหลวง จัดตั้งเป็นเมืองชั้นใน  ทรงขุนนางไปครองเรียก  ผู้รั้ง
        หัวเมืองชั้นนอก คือหัวเมืองประเทศราชเดิม ถูกผนวกเป็นส่วนหนึ่งของอยุธยาเรียกว่า  เมืองพระยามหานคร  จัดการปกครองใกล้ชิด เช่น พิษณุโลก นครศรีธรรมราช เป็นเมืองชั้นเอก โท และตรี
        เมืองประเทศราช  คือเมืองชาวต่างชาติที่ยอมอยู่ใต้อำนาจ เช่น ตะนาวศรี ทะวาย เขมร ให้เจ้านายพื้นเมืองเดิมปกครอง ส่งบรรณาการและกองทัพมาช่วยเวลาเกิดสงคราม
     ช่วงที่ 2  ตรงกับสมัยพระเพทราชา  ถ่วงดุลอำนาจทางทหารโดยให้สมุหกลาโหม  และสมุหนายก ดูแลทั้งทหารและพลเรือน  โดยแบ่ง หัวเมืองใต้ ให้สมุหกลาโหมดูแลหัวเมืองทางใต้และพลเรือน  ส่วนพลเรือนและทหารฝ่ายเหนือให้  สมุหกลาโหมดูแล
 
การปกครองสมัยอยุธยาตอนปลาย ( ในช่วง 2231-2310)  มีลักษณะดังนี้
            พอถึงสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ครองราชย์ ทรงปรับเปลี่ยนอำนาจทางทหาร เพื่อถ่วงดุลมากขึ้นโดย ให้พระโกษาธิบดีหรือพระคลัง ดูแลทหารและพลเรือนทางใต้ แทนสมุหกลา-โหม     ส่วนสมุหนายก  ยังคงเหมือนเดิม
 การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการปกครองสมัยอยุธยาตั้งแต่ตอนต้นจนถึงตอนปลายนั้น กระทำเพื่อการรวมอำนาจสู่ศูนย์กลางให้มากที่สุด เพื่อถ่วงอำนาจ ระหว่างเจ้านาย และ ขุนนาง ไม่ให้เป็นภัยต่อพระมหากษัตริย์นั้นเอง
             เข้าใจชัดแล้วใช่ไหมว่า ทำไมอยุธยาต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงการปกครองค่อนข้างบ่อยเหตุผลก็เพื่อความมั่นคงของสถาบันกษัตริย์ที่เป็นหลักในการปกครองนั่นเอง
            สรุป การปกครองสมัยอยุธยามีการปรับปรุงให้เหมาะสมกับสถานการณ์ทางการเมืองโดยมีจุดมุ่งหมายที่สำคัญคือพยายามรวมอำนาจการปกครองสู่ส่วนกลาง และควบคุมการปกครองหัวเมืองต่างๆให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น พร้อมกับพยายามจัดรูปแบบการปกครอง เพื่อถ่วงดุลอำนาจกับกลุ่มเจ้านายและขุนนาง ซึ่งเป็นกลไกสำคัญในการปกครอง ดังนั้น สมัยอาณาจักรอยุธยาจึงเกิดการแย่งชิงอำนายทางการเมืองระหว่างพระมหากษัตริย์  เจ้านาย และขุนนาง  ตลอดจนสิ้นอยุธยา

1 ความคิดเห็น: